กลุ่มที่ 2 งานวิจัยเรื่อง : การบริหารแบบมีส่วนร่วมที่ส่งผลประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยการศึกษาระดับ ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตมหาวิทยาลัยศิลปกร
บทนำ : ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1 ในปัจจุบันผู้ปกครองไม่มีเวลาดูแลบุตรของตนได้มากพอ จึงก่อให้เกิดปัญหาหลายด้าน โรงเรียนที่จัดการศึกษาในระดับปฐมวัยหรือโรงเรียนอนุบาลจึงจำเป็นกับสังคมปัจจุบัน และจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ
ประเด็นที่ 2 ในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพ มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญในการที่จะบริหารจัดการให้มีคุณภาพ
ประเด็นที่ 3 นโยบายการศึกษาของรัฐที่ไม่ชัดเจนแน่นอนและบทบาทของหน่วยงานภาครัฐที่มุ่งควบคุมมากกว่าส่งเสริม กฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ
ประเด็นที่ 4 ในการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนมีปัญหาด้านรายได้ที่ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายที่เกิดขึ้นการวางแผนพัฒนาและการเกิดผลสัมฤทธิ์ผลของเด็กสูงกว่าความเป็นจริงการได้รับ การช่วยจากรัฐบาลไม่ทั่วถึง ไม่เท่าเทียมกัน การมีมีส่วนร่วม การบริหารการศึกษา
ประเด็นที่ 5 ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นกลไกลสำคัญสำคัญในการสร้างเครือข่ายสร้างทีมงานขับเคลื่อนสถานศึกษาให้ไปในทิศทางที่ต้องการ ผู้บริหารมีหน้าที่ทำให้ทุกคนมีความรู้สึกที่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนในสถานศึกษาสร้างความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเป็นการบริหารแบบมีส่วนร่วม(Participative Management)
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อทราบการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัย
2. เพื่อทราบประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารศาสตร์ศึกษาเอกชนระดับปฐมวัย
3. เพื่อทราบการบริหารแบบมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัย
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. การบริหารแบบมีส่วนร่วมจะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จ
2. เพื่อให้บุคลากรรู้ถึงคุณค่าและความสำคัญในหน้าที่ของตน และรู้สึกว่าตนเองมีค่าต่อทีมเสมอ
3. เกิดการยอมรับ และสร้างความมั่นใจในคุณค่าของการทำงานเป็นทีม และรู้สึกว่าตนเองมีค่าต่อทีมเสมอ และแสดงความสามารถมากขึ้น
4. ส่งผลให้องค์การมีโอกาสก้าวหน้าในงาน เกิดความรู้สึกภูมิใจในความสำเร็จ จะช่วยจูงใจให้เกิดการเสียสละ อุทิศตนในงาน
5. โรงเรียนเอกชนระดับปฐมวัยสามารถนำงานวิจัยชิ้นนี้ไปพัฒนาโรงเรียนของตนเองได้
ขอบเขตการศึกษางานวิจัย
ประชากร ได้แก่ โรงเรียนเอกชนสายสามัญ สำนักงานคณะกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชนในกรุงเทพมหานคร ที่มีการจัดการศึกษาในระดับปฐมวัยจำนวน 321 โรง
กลุ่มตัวอย่าง กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากการใช้ตารางประมาณการขนาดตัวอย่างของเครจซีและมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่าง 175 โรง ผู้ให้ข้อมูลคือผู้บริหารโรงเรียน แห่งละ 2 คน รวมผู้ให้ข้อมูลทั้งหมด 298 คน
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ
การบริหารแบบมีส่วนร่วม
ตัวแปรตาม
ประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัย
สมมติฐานการวิจัย
1.การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยอยู่ในระดับปานกลาง
2.ประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยอยู่ในระดับปานกลาง
3.การบริหารแบบมีส่วนร่วมส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษา เอกชนระดับปฐมวัย
งานวิจัยนี้นำแนวคิดทฤษฏีทางการบริหารใดมาใช้
รุสโซ ทฤษฎีการมีส่วนร่วมแบบประชาธิปไตย
ประการที่ 1 การมีส่วนร่วมต้องตั้งอยู่บนฐานของเสรีภาพ
ประการที่ 2 กระบวนการมีส่วนร่วมนั้นจะต้องตั้งอยู่บนฐานของความเสมอภาค
ติน ปรัชญพฤทธิ์ แบ่งทฤษฎีการมีส่วนร่วมออกเป็น 2 กลุ่ม
1) ทฤษฎีความเป็นผู้แทน เน้นความเป็นผู้แทนของผู้นำ และถือว่าการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งและ/หรือถอดถอนผู้นำเป็นหลักประกันกับการบริหารที่ดี
2) การมีส่วนร่วมเป็นการให้การศึกษาและพัฒนาการกระทำทางการเมืองและสังคมที่มีความรับผิดชอบ ไม่ยอมให้มีส่วนร่วมนับว่าเป็นการคุกคามต่อเสรีภาพของผู้ตาม
วิธีการดำเนินการวิจัย
ประชากร
โรงเรียนเอกชนสายสามัญ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนในกรุงเทพมหานคร ที่มีการจัดการศึกษาในระดับปฐมวัย ปีการศึกษา 2557 จำนวน 321 โรงเรียน
กลุ่มตัวอย่าง
โรงเรียนเอกชนสายสามัญ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนในกรุงเทพมหานคร ที่มีการจัดการศึกษาในระดับปฐมวัย จำนวน 175 โรงเรียน การสุ่มตัวอย่างจะทำการศึกษาโรงเรียนเอกชนที่มีการจัดการศึกษาในระดับปฐมวัยในกรุงเทพมหานครทุกเขตทั้ง 50 เขต
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1. แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง
2. แบบสอบถามความคิดเห็น
3. แบบตรวจสอบรายการ
การดำเนินการวิจัย
ขั้นตอนที่1 การเตรียมโครงร่างวิจัย
ศึกษาวิเคราะห์หลักแนวคิดทฤษฎี งานวิจัยในประเทศและต่างประเทศ
ขั้นตอนที่2 ดำเนินการวิจัย
2.1 ศึกษา,วิเคราะห์เนื้อหา และกำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย
2.2 ร่างแบบสอบถามองค์ประกอบการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัย
2.3 สร้างแบบสอบถามเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเพื่อวิเคราะห์แบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัย
2.4 รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่ได้มาจากการสุ่มตัวอย่าง แบบสุ่มตัวอย่าง
2.5 ตรวจสอบความสอดคล้องของการบริหารแบบมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัย
ขั้นตอนที่3 การรายงานผลการวิจัย
เป็นขั้นตอนการจัดทำร่างรายงานผลการวิจัย เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการควบคุมตรวจสอบความถูกต้อง ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง ตามที่คณะกรรมการควบคุมเสนอแนะ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ได้แก่
ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน
สรุปผลการวิจัย
จากการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัย ผู้วิจัยสามารถสรุปผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้
1. องค์ประกอบการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยมีจำนวน 9 องค์ประกอบ คือ
องค์ประกอบที่ 1 ความผูกพันต่อองค์การ
องค์ประกอบที่ 2 การพัฒนาทีมงาน
องค์ประกอบที่ 3 การกระจายอำนาจ
องค์ประกอบที่ 4 ความไว้วางใจกัน
องค์ประกอบที่ 5 การให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์
2. องค์ประกอบประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยประกอบด้วย 12 องค์ประกอบ คือ
1) ความชัดเจนของวัตถุประสงค์ 7) การสื่อสารที่เปิดเผย
2) บรรยากาศการทำงานที่ปราศจากพิธีรีตอง 8) บทบาทและการมอบหมายงานที่ชัดเจน
3) การมีส่วนร่วม 9) ภาวะผู้นำร่วม
4) การรับฟังซึ่งกันและกัน 10) ความสัมพันธ์กับภายนอก
5) ความไม่เห็นด้วยในทางบวก 11) รูปแบบการทำงานที่หลากหลาย
6) ความเห็นพร้อมกัน 12) การประเมินผลงานของตนเอง
3. การบริหารแบบมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยโดยรวมมีจำนวน 3 องค์ประกอบคือ
- การบริหารแบบมีส่วนร่วมด้านความเป็นอิสระในการบริหารองค์การ
- ความผูกพันต่อองค์การ
- ด้านการร่วมกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
กลุ่มที่ 3 งานวิจัยเรื่อง : การศึกษาสมรรถนะการบริหารด้านวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตภาษีเจริญ การศึกษาระดับ:ปริญญาโท การศึกษามหาบัณฑิต (กศ.ม) การบริหารการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพมหานคร
บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1 การศึกษาเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาคน ทั้งนี้เพราะความสามารถและศักยภาพของคนจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศชาติให้มีความเจริญ
ประเด็นที่ 2 เด็กปฐมวัยเป็นวัยที่สำคัญที่สุดของการพัฒนา ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคมและบุคลิกภาพ เป็นวัยที่เรียกว่าช่วงแห่งการเจริญเติบโตงอกงามสำหรับชีวิต และยังเป็นช่วงวัยที่
เกิดการเรียนรู้ได้มากที่สุดในชีวิต
ประเด็นที่ 3การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสม เป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กสามารถช่วยให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์และเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพในอนาคต
ประเด็นที่ 4 เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาว เด็กทุกคนมีความสามารถด้านการเรียนรู้และด้านสมอง เท่าเทียมกัน องค์ประกอบของสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเด็ก
ประเด็นที่ 5 การจัดการศึกษาปฐมวัยจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ในทำนองเดียวกันต้องจัดให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ปกครอง ผู้บริหารสถานศึกษาซึ่งเป็นบุคลากรหลักและเป็นผู้นำในการบริหาร
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาสมรรถนะการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูในโรงเรียนประถมศึกษา ในสังกัดกรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตภาษีเจริญ ในด้านการจัดการการเรียนรู้ การพัฒนาหลักสูตร การนิเทศ และการส่งเสริมการวิจัย
2. เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูในโรงเรียนประถมศึกษา ในสังกัดกรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตภาษีเจริญ ในด้านการจัดการการเรียนรู้ การพัฒนาหลักสูตร การนิเทศ และการส่งเสริมการวิจัยจำแนกตามตัวแปรประสบการณ์สอนและขนาดของโรงเรียน
3. เพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสมรรถนะการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตภาษีเจริญ
ขอบเขตของการศึกษาวิจัย
ขอบเขตของเนื้อหา
การศึกษาในครั้งนี้ กำหนดขอบเขตของเนื้อหาที่ศึกษาเกี่ยวกับเกี่ยวกับสมรรถนะการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถานศึกษา ใน 4 ด้าน คือ
1. การจัดการการเรียนรู้
2. การพัฒนาหลักสูตร
3. การนิเทศ
4. การส่งเสริมการวิจัย
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ ไดแก่
1.2 ประสบการณสอน
1.3 ขนาดของโรงเรียน
ตัวแปรตาม ไดแก สมรรถนะการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถานศึกษา ใน 4 ด้าน คือ
2.1 การจัดการการเรียนรู
2.2 การพัฒนาหลักสูตร
2.3 การนิเทศ
2.4 การส่งเสริมการ
สมมติฐานการวิจัย
1. ครูผู้สอนระดับปฐมวัยที่มีประสบการณ์สอนต่างกันมีความคิดเห็นต่อสมรรถนะการ บริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถานในด้านการจัดการการเรียนรู้ การพัฒนา หลักสูตร การนิเทศ และการส่งเสริมการวิจัย แตกต่างกัน
2. ครูผู้สอนระดับปฐมวัยที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนขนาดต่างกันมีความคิดเห็นต่อสมรรถนะ การบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถานในด้านการจัดการการเรียนรู้ การพัฒนา หลักสูตร การนิเทศ และการส่งเสริมการวิจัย แตกต่างกัน
การดำเนินการวิจัย
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ผู้บริหาร และครูที่ปฏิบัติการสอนอยู่ในโรงเรียน ประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตภาษีเจริญ ปีการศึกษา 2549 13 โรงเรียน เป็นผู้บริหาร 13 คน เป็นครู 456 คน รวมทั้งสิ้น 469 คน กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ผู้บริหาร และครูผู้สอนระดับปฐมวัยที่ ปฏิบัติการสอนอยู่ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร สํานักงานเขตภาษีเจริญ ปีการศึกษา 2549 โดยผู้วิจัยเจาะจงกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหาร จำนวน 13 คน และครูผู้สอนระดับ ปฐมวัย จำนวน 80 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยแบ่งออกเป็น 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบ ตรวจสอบรายการ (Checklist) โดยสอบถามเกี่ยวกับระดับการศึกษาและประสบการณ์ในการ บริหารและขนาดของโรงเรียน ตอนที่ 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับสมรรถนะการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของ ผู้บริหารสถานศึกษา ในด้านการจัดการการเรียนรู้ด้านการพัฒนาหลักสูตร ด้านการนิเทศ และ ด้านการสงเสริมการวิจัย
ใชในการวิเคราะห์ ขอมูลสถิติที่ใช้ ในการหาคุณภาพของเครื่องมือ
1. ตรวจสอบความเทยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity)โดยการหาคา IOC
2. หาคาความเชื่อมั่นของแบบสอบถามโดยวิธีหาค่าสัมประสิทธแอลฟา (α- Coefficient) ของครอนบัค สถิติที่ใช้ ในการ วิเคราะหขอมูล
2.1 ถิติพื้นฐาน ไดแก คารอยละ คาเฉลี่ย ( X ) และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
2.2 สถิติที่ใชในการจําแนกเกณฑในการกําหนดระดับความสามารถใชการทดสอบที (t–test) แบบกลุมตัวอยาง กลุมเดียว (One sample t-test) 86
2.3 สถิติที่ใชในการทดสอบสมมติฐานในการเปรียบเทียบความแตกตางระหวาง กลุมตัวอยาง 2 กลุม
จําแนกตามประสบการณสอน โดยใชการทดสอบที (t–test) แบบกลุ่มตัวอยาง เปนอิสระตอกัน (Independent sample) 2.4 สถิติที่ใชในการทดสอบสมมติฐานในการเปรียบเทียบความแตกตางระหวาง กลุมตัวอยาง 3 กลุม จําแนกตามขนาดของโรงเรียนโดยใชการวิเคราะหความแปรปรวนทางเดียว (One Way Analysis of Variance) และเมื่อพบความแตกตางอยางมีนัยสําคัญทางสถิติทดสอบความ แตกตางเปนรายคูโดยวิธีLSD (Fisher’s Least Significant Difference)
สรุปผลการวิจัย
1. สมรรถนะการบริหารดานวิชาการระดับปฐมวัยของผูบริหารสถานศึกษาตามความ คิดเห็นของครูปฐมวัยโดยรวมและรายดานทั้ง 4 ไดแก การจัดการเรียนรู การพัฒนาหลักสูตร การ นิเทศ และการสงเสริมการวิจัย อยูในระดับมาก
2. ครูปฐมวัยที่มีประสบการณสอนตางกันมีความคิดเห็นตอสมรรถนะการบริหารดาน วิชาการระดับปฐมวัยของผูบริหารสถานศึกษา ดานการจัดการเรียนรู และดานการพัฒนาหลักสูตร แตกตางกันอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สําหรับดานการนิเทศ ดานการสงเสริมการวิจัย และโดยรวม แตกตางกันอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยครูที่มีประสบการณสอน 5 ป ขึ้นไปมีสมรรถนะการบริหารงานวิชาการมากกวาครูที่มีประสบการณสอนต่ำกวา 5 ป ครูปฐมวัยที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนขนาดตางกันมีความคิดเห็นตอสมรรถนะการ บริหารดานวิชาการระดับปฐมวัยของผูบริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายดานทั้ง 4 ดานแตกตางกัน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยครูปฐมวัยในโรงเรียนขนาดใหญมีความคิดเห็นตอสมรรถนะการบริหาร ดานวิชาการระดับปฐมวัยของผูบริหารสถานศึกษา ในระดับสูงกว่าครูปฐมวัย ในโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลาง